วิธีเขียนบทหนังสยองขวัญ 7 โครงเรื่องที่นักเขียนต้องรู้ก่อนสร้างงาน Horror
Student blog — 24/11/2025
อย่างไรก็ตาม ด้วยความสามารถในการเข้าถึงสื่อได้ตามความสนใจของแต่ละบุคคล การรังสรรค์และสร้างพล็อตเรื่อง หรือการเขียนบทภาพยนตร์จึงจำเป็นต้องตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงใจ
สำหรับประเทศไทยภาพยนตร์แนวสยองขวัญ (GENRE HORROR) เป็นอีกหนึ่งแนวที่ประสบความสำเร็จทั้งในประเทศและต่างประเทศ นักเขียนนามปาก ‘ธุวัฒธรรพ์’ ผู้มีผลงานนวนิยายสยองขวัญมากกว่าสามสิบเรื่อง ได้กล่าวถึงหัวใจของหนังสยองขวัญไว้ว่า
“ไม่ว่าจะเป็นนิยาย ละคร ภาพยนตร์ ล้วนมีจุดร่วมเดียวกัน ก็คือ ‘ความน่ากลัว’ ดังนั้นอันดับแรกที่ผู้เขียนควรคำนึงถึงในการสร้างพล็อตนิยายแนวนี้ คือต้องคิดเรื่องราวที่จะทำให้คนอ่านรู้สึก ‘กลัว’ ให้ได้”


1. The Quest : ตัวละครเอกต้องต่อสู้เพื่อภารกิจบางอย่างให้สำเร็จ เป็นเงื่อนไขที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ก่อนความตายจะมาเยือนพวกเขา ตัวอย่างภาพยนตร์เช่น The ring คำสาปแหวนมรณะ, ,Corpse Party, Smile
2. Voyage and Return : คือการเดินทางไปสู่โลกอื่น หมายถึงตัวละครเอกถูกพาออกจากโลกแห่งความเป็นจริง แล้วเข้าสู่โลกอีกใบที่เต็มด้วยภูตผีและปีศาจ ด้วยเงื่อนไขบางอย่าง เช่นจากการเปิดประตู หรือการเปลี่ยนดวงตา ตัวอย่างภาพยนตร์เช่น Insidious: The Red Door , คนเห็นผี , Cabin in the wood , Silent Hill
3. Rebirth : คือการตัวละครเอกก็ได้เรียนรู้บางอย่างว่าอะไรคือสิ่งที่ส่งผลต่อชีวิตในอดีตจนกระทั่งได้รู้คุณค่าบางอย่าง จากนั้นจึงพัฒนาเรียกว่าการ ‘เกิดใหม่’ และมาจัดการกับปัญญาที่ค้างคาไว้ กับตัวตนที่เก่งกาจขึ้นกว่าเดิม ตัวอย่างภาพยนตร์เช่น Constantine , Resident Evil
4. Comedy : ในที่นี้ไม่ได้หมายความตลกเพียงอย่างเดียว แต่ความจริงแล้วอาจเป็นตลกร้ายเป็นความทุกข์ ความชอกช้ำได้เช่นกัน ในพล็อตนี้ ผู้เขียนจะต้องวางแผนแสดงให้เห็นถึงจุดที่ตัวละครทุกข์ เศร้า แต่อย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่องที่แสดงออกมาสามารถมีมุกตลกสอดแทรกได้ ฉะนั้นหากต้องสร้างหนังผีคอมเมดี้ คนเขียนบทต้องเกลี่ยบทบาทให้ดีระหว่างความตลก และความสยองขวัญ ตัวอย่างภาพยนตร์เช่น บุปผาราตรี , Scary Movie , พี่มากพระโขนง
5. Tragedy : โศกนาฎกรรม โดยคำคำนี้หมายถึง เรื่องราวที่จบลงด้วยความเศร้าหรือไม่สมหวัง หรือความตาย โดยบทจะเล่าถึงการที่ตัวละครเอกได้กระทำหรือถูกบังคับให้กระทำบางสิ่ง เพื่อตอบสนองความต้องการคนอื่น หรือตนเอง แต่เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง จนสิ่งที่ต้องการหายไป ตัวเองจะขวนขวายสิ่งที่อยากได้ จนเกินคำว่า ‘ปกติ’ อาจเข้าสู่ด้านมืด หลงผิด แก้แค้น แต่สุดท้ายไม่ว่าคำตอบจะเป็นในรูปแบบไหน มักลงเอยไม่สวยเสมอ ตัวอย่างภาพยนตร์เช่น พนอ,โปรแกรมหน้าวิญญาณอาฆาต,ซัตเตอร์, The Substance
6. Overcoming the Monster : การเอาชนะสิ่งที่เหนือจินตนาการ หากใช้พล็อตนี้ในการดำเนินเรื่องแล้ว ส่วนใหญ่ภารกิจที่ตัวเอกต้องเผชิญคือการกำจัดสิ่งแปลกปลอม ภูตผี หรือสัตว์ประหลาด เอเลี่ยน เพื่อเอาชีวิตรอด หรือปกป้องสิ่งสำคัญ ซึ่งมักเริ่มต้นด้วยความน่าสะพรึ่งกลัวของสัตว์ประหลาดที่ไม่มีวันเอาชนะได้ แต่หลังจากผ่านสถานการณ์ ให้เวลาตัวละครได้เติบโต สุดท้ายแล้วอุปสรรคที่พบเจอรวมทั้งสัตว์ประหลาดจะถูกกำจัดไป
พล็อตแนวนี้ค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ ดังนั้นสิ่งที่เล่นกับความรู้สึกคนดูได้คือ ตัวตนของสัตว์ประหลาด ความน่ากลัว ความกดดัน และบรรยากาศ ซึ่งตรงกับบทสัมภาษณ์ของ ‘ธุวัฒธรรพ์’ กล่าวว่า การสร้างสถานการณ์ที่มองไม่เห็นทางออกหรือหนทางแก้ไข การใส่ฉากที่มีสถานการณ์ดังกล่าว จะช่วยเพิ่มความตื่นเต้น ลุ้นระทึกให้กับคนดู ตัวอย่างภาพยนตร์เช่น Alien Romulus,IT, Terrifier , ปอบ , ธี่หยด , The Host
7. Rags to Riches : คือการเดินทางจากจุดต่ำสุดในชีวิตสู่จุดสูงสุดในชีวิต หากเป็นภาพยนตร์ทั่วไปเราจะเห็นจากความขาดแคลนยากไร้ จนกลายเป็นคนมั่งคั่ง แต่ถ้าจะใช้พล็อตนี้ในแนวสยองขวัญ อุปสรรคหรือปัญหาความขาดแคลนของตัวจะถูกแก้ไขด้วยบางสิ่ง และสิ่งนั้นย่อมคิดบัญชีย้อนหลังหลังจากที่ตัวละครได้มาครอบครอง ตัวอย่างภาพยนตร์ Wish upon พรขอตาย , Ready or Not , บ้านเช่าบูชายัญ , สุมาลา
ฉะนั้นแม้ว่าเราจะใช้เทคนิคใดในการสร้างภาพยนตร์สยองขวัญ สิ่งที่คนดูให้ความสนใจบทภาพยนตร์ ก็ยังคงเป็นความแปลกใหม่และพล็อตเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาทิศทางได้ แต่สมเหตุสมผล ยิ่งใช้เรื่องบรรทัดฐานในเรื่องความเชื่อต่างๆ ที่ผูกพันกับคนไทยมานานจะสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้อย่างแน่นอน!
เรียบเรียงเนื้อหาโดย: ปาณิชฎา ศรดิษฐพันธ์